กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวโทษจีนอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ก่อกวนความสงบในเขตน่านน้ำของเวียดนามและให้คำมั่นในการปฏิบัติการ
เมื่อวันที่22สิงหาคม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเพื่อประณามการกระทำของจีนในบริเวณแนวปะการังตือจิ๋งห์ นอกจากนั้น สหรัฐฯ ยังได้ให้คำมั่นว่าจะเป็นผู้ค้ำประกันว่าการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบริเวณดังกล่าวเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลกจะยังคงดำเนินต่อไป ในบทความนี้เราขอนำเสนอเนื้อหาในแถลงการณ์ดังกล่าวอีกครั้ง
มอร์แกน ออร์เทกัส โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
"สหรัฐฯ มีความกังวลอย่างลึกซึ้งว่าจีนยังคงเข้าไปแทรกแซงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของเวียดนาม (EEZ) ที่ได้ดำเนินการมาอย่างยาวนาน กรณีดังกล่าวส่งผลให้เกิดข้อสงสัยอย่างจริงจังต่อคำมั่นสัญญาของจีนที่ปรากฏในปฏิญญาอาเซียน – จีน เกี่ยวกับแนวปฏิบัติของแต่ละฝ่ายในทะเลตะวันออกเพื่อการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางทะเลอย่างสันติวิธี
การที่จีนได้จัดส่งเรือสำรวจซึ่งรัฐบาลจีนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมด้วยเรือคุ้มกันติดอาวุธเข้าไปในเขตน่านน้ำของเวียดนามที่ตั้งอยู่ใกล้กับแนวปะการังตือจิ๋งอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคมนั้น ถือเป็นการดำเนินการของรัฐบาลปักกิ่งในการยกระดับการกระทำที่คุกคามฝ่ายต่าง ๆ ที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมิให้กระทำการพัฒนากิจการทางด้านทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทะเลตะวันออก
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จีนได้ดำเนินการตามแผนการของตนหลายประการ โดยมีเป้าหมายเพื่อแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลายาวนาน และมีความน่าเชื่อถือของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยการพยายามบีบบังคับให้พวกเขาปฏิเสธการร่วมมือกับบริษัทน้ำมันต่างประเทศ และให้ร่วมมือกับวิสาหกิจของจีนเท่านั้น ในกรณีของแนวปะการังตือจิ๋ง จีนกำลังกดดันเวียดนามให้ยุติการร่วมมือกับบริษัทพลังงานของรัสเซีย และผู้ประกอบการจากประเทศอื่น ๆ
การกระทำของจีนได้ทำลายความสงบสุขและความมั่นคงในภูมิภาค สร้างความกดดันให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยการขัดขวางมิให้พวกเขาเข้าถึงทรัพยากรไฮโดรคาร์บอนที่มีมูลค่าประมาณ 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ยังมิได้นำมาใช้ประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าจีนไม่ได้ให้ความสนใจต่อสิทธิของประเทศต่าง ๆ ในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของพวกเขาตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982 ซึ่งจีนให้สัตยาบันในปี 1996
บริษัทของสหรัฐเป็นผู้นำระดับโลกในการสำรวจและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรไฮโดรคาร์บอน ซึ่งรวมถึงพื้นที่นอกชายฝั่งและในพื้นที่ทะเลตะวันออก ดังนั้น สหรัฐฯ จึงขอคัดค้านอย่างรุนแรงต่อความพยายามใด ๆ ของจีนในการข่มขู่หรือบีบบังคับประเทศคู่ค้าให้ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับบริษัทที่ไม่ใช่ของจีน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการคุกคามกิจกรรมความร่วมมือของพวกเขา สหรัฐอเมริกามุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้แก่คู่ค้าและพันธมิตรของเราในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย – แปซิฟิก และให้การรับรองว่าการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในภูมิภาคเพื่อจำหน่ายให้แก่ตลาดโลกจะไม่หยุดชะงัก" (สิ้นสุดถ้อยคำที่อ้างอิงมาจากแถลงการณ์)
นอกจากนี้ ในการแถลงข่าวที่ถูกจัดขึ้นตามวาระของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวานนี้ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 22 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่าเวียดนามมีปฏิกิริยาอย่างไร และได้แสดงออกซึ่งการตอบโต้ที่เป็นรูปธรรมอย่างไรภายหลังจากกลุ่มเรือของจีนได้กลับเข้ามาในน่านน้ำเวียดนาม ต่อคำถามดังกล่าว นางเลถิทูหั่ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กลุ่มเรือไห่หยาง 8 ได้กลับเข้ามาอีกครั้ง และยังคงมีพฤติกรรมที่ล่วงละเมิดอย่างหนักในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ และไหล่ทวีปของเวียดนามที่ได้รับการรับรองโดยบทบัญญัติในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982 (UNCLOS 1982)
เวียดนามได้หารือกับจีนหลายครั้งในประเด็นนี้ โดยได้เรียกร้องให้จีนยุติพฤติกรรมการละเมิด รวมถึงให้เรือของจีนล่าถอยออกจากเขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีปของเวียดนามโดยทันที และจะไม่ดำเนินการใด ๆ อันเป็นการเพิ่มความตึงเครียด อุปสรรค การคุกคามสันติภาพ เสถียรภาพและความมั่นคงในทะเลตะวันออก เช่นเดียวกับในภูมิภาค
กองกำลังทางทะเลของเวียดนามยังคงปฏิบัติการเพื่อคุ้มครองอธิปไตย สิทธิอำนาจอธิปไตย และอธิปไตยทางศาลของเวียดนามอย่างต่อเนื่องตามกฎหมายระหว่างประเทศและตามกฎหมายของประเทศเวียดนาม
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสิทธิทางกฎหมายและผลประโยชน์ของตนเพื่อการมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพ ความมั่นคงและความปลอดภัยในภูมิภาคที่สอดคล้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ เวียดนามพร้อมเสมอที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เวียดนามขอเสนอให้ประเทศที่เกี่ยวข้องและประชาคมระหว่างประเทศมีส่วนร่วมในเชิงสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรักษาความสงบสุข ความมั่นคง และเสรีภาพในภูมิภาค รวมถึงความมั่นคง ความปลอดภัย และเสรีภาพในการเดินเรือและการบิน เคารพในหลักการของกฎหมายในทะเลตะวันออกที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982
ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวในประเด็นที่เกี่ยวกับปฏิกิริยาของเวียดนามที่มีต่อการที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้กล่าวว่า บริเวณที่เรือของจีนกำลังดำเนินกิจกรรมอยู่นั้นเป็นน่านน้ำของจีนและอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของจีน โฆษกกระทรวงต่างประเทศเวียดนามได้กล่าวยืนยันว่า เวียดนามสามารถอ้างอิงถึงข้อกฏหมายและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์เพื่อยืนยันถึงอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะทั้งสองแห่งอันประกอบด้วยหมู่เกาะหว่างสาและเจื่องซาตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
เกี่ยวกับพฤติกรรมการล่วงล้ำเขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีปของเวียดนามโดยกลุ่มเรือไห่หยาง 8 นั้นฝ่ายเวียดนามได้มีถ้อยแถลงอย่างชัดเจนหลายครั้งว่านี่คือเขตน่านน้ำของเวียดนามโดยสมบูรณ์และสามารถอ้างอิงได้จากบทบัญญัติของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982
เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังได้กล่าวโทษจีนด้วยพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน ในขณะนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นางมอร์แกน ออร์เทกัสกล่าวว่า: "สหรัฐฯ มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับรายงานการแทรกแซงของจีนต่อกิจกรรมการแสวงหาผลประโยชน์จากน้ำมันและก๊าซในทะเลตะวันออก ซึ่งรวมถึงการสำรวจและการแสวงหาผลประโยชน์ของเวียดนามที่ได้ดำเนินมาอย่างยาวนาน สิ่งเหล่านี้กำลังคุกคามความมั่นคงทางด้านพลังงานของภูมิภาค และทำลายตลาดการค้าพลังงานในมหาสมุทรอินเดีย – มหาสมุทรแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง”
คำชี้แจงดังกล่าวยังได้อ้างอิงถึงคำกล่าวของนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้แถลงเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าการปิดกั้นการพัฒนาในทะเลตะวันออกโดยการรุกรานของจีนได้ขัดขวางไม่ให้สมาชิกอาเซียนสามารถใช้ประโยชน์จากพลังงานมูลค่า 2.5 ค่า ล้านล้านดอลลาร์
แถลงการณ์ดังกล่าวมีใจความว่า: " ข้อเรียกร้องของจีน และการเสริมกำลังทหารเข้าไปฐานปฏิบัติการในทะเลตะวันออก การดำเนินการเพื่ออ้างสิทธิเหนือน่านน้ำทางทะเลที่ผิดกฎหมายในทะเลตะวันออก ซึ่งรวมถึงการใช้กำลังทหารทางทะเลเพื่อข่มขู่ สร้างความบาดหมาง และคุกคามประเทศอื่น ๆ เป็นการทำลายความสงบสุขและความมั่นคงในภูมิภาค "
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า จีนกำลังเพิ่มความกดดันให้กับประเทศในกลุ่มอาเซียนเพื่อบังคับให้พวกเขายอมรับประมวลการปฏิบัติในทะเลตะวันออก (Code of Conduct in the South China Sea: COC) ระหว่างอาเซียน - จีน ซึ่งได้มีการจำกัดสิทธิ์ในการร่วมมือกับฝ่ายหรือประเทศที่สามในภายหลัง โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมสิทธิในการใช้ประโยชน์จากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเลตะวันออก
ต่อสถานการณ์ดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า: "สหรัฐฯ ต่อต้านการรุกรานและการข่มขู่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนหรือน่านน้ำอย่างเด็ดขาด จีนควรยุติพฤติกรรมการข่มเหง และควบคุมพฤติกรรมที่ทำให้เกิดปัญหาและความไม่มั่นคงเช่นนี้ "
ต้นฉบับแถลงการณ์ภาษาอังกฤษ:
https://www.state.gov/china-escalates-coercion-against-vietnams-longstanding-oil-and-gas-activity-in-the-south-china-sea/
ข่าวมาจาก Anh Tú - Một thế giới
Suriya Khamwan แปล